วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

ท่านสุวรรณ คเวสโก: ผู้พลิกฟื้นชุมชนป่ายาง

ผมกล่าวถึง "ท่านวรรณ" มาในบรรทึกที่แล้ว หลายท่านอาจอยากจะทราบว่าท่านวรรณเป็นใคร วันนี้ผมจะเล่าเรื่องราวของท่านสู่ท่านทั้งหลายให้ได้รับทราบครับ

"อาตมาเกลียดพระ" เป็นคำกล่าวแรก ๆ ที่ท่านแนะนำตัวเอง ผมได้ฟังทีแรก ก็ยอมรับว่าสะดุ้งนิด ๆ แต่เมื่ออยู่ที่วัดนานเข้า ผมก็เริ่มเข้าใจที่มาที่ไปของคำกล่าวแสดงความรู้สึกที่ท่านพูดออกมาตรง ๆ
"แต่ก่อนอาตมาเป็นคอมฯ" ท่านสนทนากับผมในเย็นวันหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับที่คนใกล้ชิดท่านบอกกับผมว่า "พ่อท่านเป็นคอมเก่า" ผมฟังเสียงจากคนใกล้ชิดท่านบอกเล่า แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ผมตอบผู้บอกเล่าไปในเชิงกระเซ้าว่า "ก็ดี เพราะผมก็เป็นคอมใหม่" "หลังจากหันหลังให้พรรคฯ แล้ว อาตมาไปศึกษาธรรมะอยู่กับ

อาจารย์พุทธทาสอยู่เจ็ดปี" ท่านสุวรรณเล่าต่อในอีกหลายวันต่อมา "อาจารย์พุทธทาสเป็นแรงบันดาลใจในการบวชของอาตมา" ท่านเล่าให้ฟังต่

อว่า อาจารย์พุทธทาสแสดงความคิดเห็นเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกว่า "คอมเ ก๊" และอาจารย์พุทธทาสบอกท่านสุวรรณเรื่องคอมที่แท้จริงว่า "คอมแท้คือพระพุทธเจ้า" ผมจึงเชื่อว่า จุดนี้แหละน่าจะเป็นสิ่งที่ท้าทายท่านสุวรรณในการบวชครั้งนี้

ความคาดเดาของผมในเบื้องต้นบังเอิญไปตรงกับใจท่านพอดี วันหนึ่งท่านปรารภกับผมต่อ

ว่า "ที่อาตมามาบวชนั้น เป็นการบวชอย่างมีเป้าหมาย ไม่ได้มาบวชเพื่อสร้างฐานะ ไม่ได้มาบวชเพื่อแสวงหาลาภยศ แต่เป็นการมาบวชเพื่อสร้างสังคมใหม่" ในตอนแรกผมยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เวลาผ่านไปสองสามเดือน สิ่งที่ท่านกล่าวถึงว่า "สังคมใหม่" เริ่มชัดแจ้ง สังคมใหม่ในความหมายที่ท่านพยายามสื่อ ได้ปรากฏออกมาในการสื่อสารหอกระจายข่าวตอนเช้าว่า "เราต้องการให้สังคมอยู่ดี กินดี อยู่ดีคืออยู่โดยปราศจากอบายมุข กินดี คือกินอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมี" ทำให้ผมนึกถึงคำ ๆ หนึ่งว่า "อาริยะ" ผมนำคำนี้ไปปรึกษาท่าน ท่านไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้ม ในวันต่อ ๆ มา ท่านก็เริ่มนำคำนี้มาพูดในตอ

นเช้าว่า "ต่อไปป่ายางเราต้องเป็นหมู่บ้านอาริยะ" ผมจึงได้เข้าใจว่าที่ท่านยิ้มในวันนั้นหมายถึงอะไร

"อาตมาบวชเมื่อปี 2538 พรรษาแรกก็ทำงานเลย เมื่อมีโอกาสได้พบกับท่านสุบิน ปณีโต เมื่อครั้งเดินทางมาจังหวัดสุราษฎร์" ท่านกล่าวกับผมในเช้าวันหนึ่ง "จากวันนั้นก็ทำงานหนักมาตลอด จากวันแรกที่กองทุน

สวัสดิการก่อตั้งขึ้นในปี 2542 มีเพียง 18,000 บาท ที่ขอให้ชาวบ้านบริจาคคนละ 100 แบบไม่ต้องถาม ถ้าถามก็ไม่ต้องให้ มาวันนี้ เราทำงานมาสิบปี กองทุนสวัสดิการเราโตขึ้นกว่าสามล้านบาท" ท่านพูดอยู่เสมอ ๆ 

ด้วยความภาคภูมิใจ "แต่อาตมาเหนื่อย ชาวบ้านส่วน

ใหญ่ยังไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่เราพูดมาตลอดสิบปี" ท่านทิ้งท้ายด้วยเสียงเหนื่อย แต่ผมสังเกตแววตาท่าน ผมก็รู้อยู่เต็มใจว่าท่านไม่ถอยง่าย ๆ หรอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น